Home ข้อคิดสอนใจ เคยสงสัยไหม “หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็ใช้หมด” เงินไม่เคยพอสักที

เคยสงสัยไหม “หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็ใช้หมด” เงินไม่เคยพอสักที

6 second read
0
597

พูดกันติดปากตั้งแต่วัยทำงาน จนถึงวัยเกษียณ ว่าหาเงินมาจ่ายออกหมดหาเงิน ได้เท่าไหร่ก็ไม่พอจ่าย หาเงินมาไม่ทันได้ใช้ หาเงินมาได้ก็ไม่เคยมีเงินเก็บคนทำงาน ทุกคนต่างต้องการเงินเดือนสูงๆ รายได้เยอะๆ กันทั้งนั้น อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้ได้เงินเดือนที่พอใช้จ่ายตลอดเดือน

เหลือเก็บบ้างเล็กน้อย ก็ยังดีแต่สภาพสังคมปัจจุบัน ชีวิตของคนทำงานมีสิ่งที่ ทำให้ต้องเสียเงิน เสียค่าใช้จ่ายค่ามากขึ้น ซึ่งแม้จะเป็นรายจ่ายที่สำคัญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเปลี่ยนแปลงหรือลดรายจ่ายไม่ได้

เช่น ค่าผ่อนชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำในแต่ละเดือน ค่าผ่อนสินค้า ค่าบริการโทรศัพท์มือถือ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าเสริมสวย-ซื้อเครื่องสำอาง ค่าใช้บริการฟิตเนส ค่าน้ำมันรถ รายจ่ายเหล่านี้ เป็นการจ่ายเพื่อสิ่งที่ ‘อาจไม่จำเป็นต้องมี ต้องทำหรือต้องเป็น’แต่ก็ยังดีกว่ารายจ่ายในสิ่งที่ไร้ประโยชน์

เช่น ค่ า เ ห ล้ า ค่ า บุ ห รี่ ค่ า ห ว ย หรือค่าใช้จ่ายสำหรับ อ บ า ย มุ ข ต่างๆ เงินเดือนเท่าไหร่จึงจะพอกับความต้องการจึงเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับคนทำงาน หลายคนมีรายได้มากกว่าตอนเริ่มต้นทำงาน แต่ก็ยังไม่พอใช้จ่าย ไม่พอใช้หนี้ ลองมองย้อนกลับไปในอดีต

หากเราไม่ก่อหนี้ โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต เพื่อซื้อสิ่งที่ต้องการอย่างง่ายๆ ป่านนี้คงมีเงินเก็บมากมายหากคนทำงานอย่างคุณ จ่าย ค่ า เ ห ล้ า ค่ า บุ ห รี่ ในแต่ละวัน เท่าค่าใช้จ่ายประจำวันโดยเฉพาะค่าข้าว ถ้า ง ด เ ห ล้ า ง ด บุ ห รี่ ในแต่ละเดือน จะเหลือเงินค่าข้าวเป็นสองเท่าเลยทีเดียว!

หากคุณมีรายได้หลักพันหรือหลักหมื่นต้นๆ แต่ซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับราคาแพงใส่ไปทำงานใช้โทรศัพท์มือถือ เครื่องละหลายหมื่นที่ยังต้องผ่อน ดื่มกาแฟแก้วละเกือบร้อย แม้จะเป็นความสุขของคนทำงานที่ถือเป็นการให้รางวัลตัวเอง จากการทำงานที่เหน็ดเหนื่อย

แต่ความทุกข์ที่ต้องจ่ายหรือเป็นหนี้ จะตามมาในภายหลังพฤติกรรมและการใช้ชีวิตเช่นนี้ส่งผลให้คนทำงานส่วนใหญ่มีหนี้สิน แม้แต่คนที่ทำงานได้เงินเดือนสูงแต่บริหารรายได้ ของตนเองไม่ดี ก็ไม่เหลือเงินเก็บเพราะส่วนมากได้เงินเยอะก็ใช้เยอะตามไปด้วย

นี่เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความอยากได้อยากมีของคน ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนเป็นเด็กคุณอาจจะคิดว่า มีเงินแค่ 1 ล้านบาท ก็ถือว่ารวยแล้ว แต่เมื่อโตขึ้นมาเงิน 1 ล้านบาท อาจจะเป็นเงินจำนวนที่น้อยมาก ในสายตาคุณนั่นก็เพราะกิเลสไม่มีที่สิ้นสุด

ยิ่งคนเติบโตมากขึ้นเท่าไหร่ กิเลสก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตาม ‘สภาพและฐานะนุรูปที่คุณต้องสร้างภาพให้ปรากฏแก่สังคม’ดังนั้น ถึงจะมีเท่าไรก็ไม่พอใช้เพราะ ความต้องการ ที่เพิ่มขึ้นลองพิจารณา ดูว่าในช่วงเริ่มต้นชีวิตการทำงาน คุณอาจมีรายได้แค่หลักพัน หรือหลักหมื่นต้นๆ

จากรายได้ที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในหนึ่งหนึ่งเดือน เมื่อคุณมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ รายได้ก็เกิดการไม่พอใช้ ต้องหมุนเงินเดือนชนเดือน หลังจากนั้นคุณก็จะเริ่มคิดว่าถ้ามีเงินเดือนสามหมื่นบาทก็คงพอค่าใช้จ่าย อยู่ได้สบายๆ

แต่เมื่อเงินเดือนคุณ ถึงสามหมื่นเมื่อไหร่ ก็กลับเข้าสู่พฤติกรรมเดิม เงินสามหมื่นที่คิดว่าพอ สุดท้ายก็ไม่พออยู่ดี จากที่เคยคิดว่า ‘ใช้เท่าไหร่ก็ยังไม่พอ’พยายาม เปลี่ยนมาเป็น ‘อยากเก็บออมให้ได้เยอะที่สุด จนรู้สึกว่าออมเท่าไหร่ก็ยังออมไม่พอ’ หรือ สร้างหนี้ได้ แต่ต้องเป็น ‘หนี้เพื่ออนาคต’

ออมเงินกับประกันชีวิต และฝากเงินกับธนาคาร จะได้สบายตอนแก่ หรือมีเงินเก็บไว้ใช้หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ ที่ไม่คาดคิดขึ้นประเมินรายจ่ายจากเงินเดือนหรือรายรับอื่นๆ ก่อนเสมอ เพื่อจัดสรรเงินเดือน เป็นส่วนๆ คิดว่าควรจ่ายอะไรเท่าไหร่บ้าง

จะได้รู้ว่าที่จ่ายไปแต่ละเดือน จนไม่เหลือกินเหลือเก็บนั้น รายจ่ายส่วนใดที่ไม่มีความจำเป็น ก็ค่อยๆ ตัดออกไปเรียกง่ายๆ ว่า ใช้จ่ายอย่างประหยัด หากเก็บออม 1 ปี ได้ สัก 8 หมื่น เก็บออมได้ 3 ปี เป็น 2 แสน 4 หมื่น ระหว่างนั่นอาจจะไปฝากธนาคารลงทุน ก็จะมีเงินเก็บเพิ่มได้

แม้ในอนาคตข้าวของเครื่องใช้จะขึ้นราคา คุณก็ไม่เดือดร้อนอะไร ถ้าเทียบกับคนที่ทำงานมา 3 ปีเท่ากัน แต่ไม่มีเงินเก็บ แม้แต่บาทเดียว ที่สำคัญคุณจะมีเงินสำรองนอนนิ่งๆ ไว้ใช้ได้ยามฉุกเฉิน เช่น ยาม เ จ็ บ ป่ ว ย หรือเกิด อุ บั ติ เ ห ตุ ที่ทำให้คุณไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป!

ขอขอบคุณ m o n e y h u b

Load More Related Articles
Load More By adminyinde
Load More In ข้อคิดสอนใจ

Check Also

12 อย่าง อย่าคิดโพสต์ลงโซเชียล เพราะอาจทำให้ชีวิตคุณแย่ลง

ทุกวันนี้ เราจะเห็นหลายๆ คน แ ช ร์ เรื่องราวต่างๆลงบน F a c e b o o k ของตนเองเต็มไปหมดเพร…