ปัญหาครอบครัวอย่างหนึ่ง ของคู่แต่งงาน ที่มีลูกน้อย คือการเลี้ยงลูกอย่างตามใจจนเกินไป ทำให้เด็กที่ถูกตามใจ จากพ่อแม่กลายเป็นเด็กสปอยล์ หรือเรียกได้ว่าการที่พ่อแม่ สปอยล์ลูก (Spoil) คือการทำให้เด็กเสียคน หรือตามใจลูกจนเกินไปนั่นเอง
คุณพ่อคุณแม่อาจมองว่า เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่จะส่งผล ร้ า ย ต่อเด็กได้ในอนาคต วันนี้เราขอพาส่องว่ามีพฤติกรรมแบบไหนบ้าง ที่พ่อแม่รังแกฉัน ทำ ร้ า ย ลูกน้อยแบบไม่รู้ตัวพฤติกรรมพ่อแม่แบบไหนที่เข้าข่าย สปอยล์ลูก
1.แสดงพฤติกรรม แ ย่ ๆ ให้ลูกเห็น
เด็กเล็ก ๆ มักจะมีพฤติกรรมการลอกเลียนแบบ คนใกล้ตัว ดังนั้นถ้าพ่อแม่ทำไม่ดีต่อหน้าลูก ก็จะทำให้ลูกเลียนแบบนิสัยไม่ดีของพ่อแม่ไปได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการแสดงออกหากไม่อยากให้ลูกทำไม่ดี ก็ไม่ควรทำให้ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้า หรือลับหลังลูก
เช่น ห้ามลูกไม่ให้กินขนมกรุบกรอบ แต่คุณก็ชอบซื้อขนมเหล่านั้น มากินเองหรือการเผลอพูด คำ ห ย า บ ที่อาจเป็นคำอุทาน เมื่อลูกได้ยินบ่อย ๆ ก็อาจนำคำพูดที่คุณใช้บ่อย ๆ มาพูดได้ เป็นต้น
2.เข้มงวดกับลูกเกินพอดี
หากคุณใช้วิธีการเลี้ยงลูก แบบเข้มงวด มากเกินไป ก็อาจจะทำให้ลูกกลายเป็นเด็กขี้กลัว ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเอง ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเพราะอะไร ที่มันมากเกินไปผลลัพธ์ที่ได้มักจะไม่ดีเสมอ
ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้ลูกกลายเป็นเด็กมีปัญหา ลองปล่อยให้ลูกได้มีความคิดในการตัดสินใจและได้ทำอะไรด้วยตัวเองดูบ้าง
3.ลงโทษลูกหนักเกินไป
เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคน อยากให้ลูกเติบโต มาเป็นคนที่ดีของสังคม เด็ก ๆ ควรได้รับการลงโทษเมื่อทำผิดเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แต่วิธีการลงโทษ ก็ควรเหมาะสม กับความผิดของลูกด้วย เพราะบางครั้งลูกอาจทำผิดด้วยความไม่รู้
จึงไม่จำเป็นต้องลงโทษทุกครั้ง แต่เริ่มต้นลูกด้วยการตักเตือน อธิบายให้ลูกเข้าใจถึงความผิด และถ้าหลังจากนั้น ลูกยังดื้อทำผิดซ้ำ ๆ ก็ควรหาวิธีลงโทษลูกด้วยความเหมาะสมกับวัยหรือความผิด โดยหลีกเลี่ยงการใช้ความ รุ น แ ร ง
4.ตามใจลูกมากเกินไป
ตามใจในที่นี้ คือการปล่อยให้ลูก อยากทำอะไรก็ทำ โดยไม่คำนึงถึง ความถูกต้อง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหากปล่อยลูกให้ทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี ก็ยังตามใจลูกให้ทำและไม่สอนลูกในสิ่งที่ควรหรือไม่ควรทำ
โดยคิดว่าเมื่อโตขึ้นลูกจะเรียนรู้ถูกผิดได้เองซึ่งความคิดในการเลี้ยงลูก ด้วยวิธีนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้ลูก ติดนิสัยไปจนโตได้ เพราะเด็กยังไม่รู้จักการแยกแยะด้วยตนเอง
ดังนั้น พ่อแม่จึงไม่ควรปล่อย ลูกให้หรือตามใจลูกจนเกินพอดี และควรจะเป็นฝ่ายที่สอนลูกก่อนจะสายเกินไป
5.เอาใจเกินพอดี
เอาใจเกินพอดี ตอบสนองลูกด้วยการให้มากเกินไป ทั้งวัตถุและสิ่งของ เพราะหวังจะให้ลูกมีความสุข แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่พ่อแม่นั้น กลับส่งเสริมให้ลูกไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักความยากลำบาก
และการอดทนรอคอย ไม่ยอมรับกับความผิดหวัง ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้มากลายเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเอง และสุดท้ายลูกก็จะไม่มองเห็น คุณค่าของคนอื่นด้วย
การสปอยล์ลูกแบบนี้ จะส่งผลให้ลูกอยู่ยากในสังคมเมื่อเขาเติบโตขึ้น
6.ให้ท้ายลูก ให้อภัยลูกแบบผิด ๆ
คุณพ่อคุณแม่ ควรเลิกคำพูดติดปาก ว่า ” เขายังเด็ก ” “อย่าถือสาเด็กเลย ” เพื่อปกป้องเวลาลูกทำผิดโดยไม่สนใจเหตุผล ควรสอนให้ลูกทราบถึงเหตุผล
และยอมรับความจริง หากทำผิดต้องขอโทษและไม่ทำผิดซ้ำอีก เพราะยิ่งถ้าสอนลูกตั้งแต่ยังเล็ก จะง่ายกว่า สอนตอนเด็กโตแล้ว นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรพูด
และปฏิบัติกับลูกในมาตรการที่ตรงกัน เพื่อไม่ให้เด็กเกิดความสับสน
อาการของเด็กเมื่อถูกสปอยล์มากเกินไป
– อารมณ์ร้อนเกรี้ยวกราด บ่อยครั้ง ลูกมักแสดงอาการฉุนเฉียว กรีดร้อง โมโห ร้ า ย อยู่บ่อยครั้ง
-กระทืบเท้า ปิดประตูเสียงดัง ลูกมีอารมณ์ โ ม โ ห ร้ า ย อยู่บ่อยครั้ง ระบายอารมณ์ผ่านทางการทำล า ยข้าวของต่าง ๆ
– ต้องมี ข้อแลกเปลี่ยนเสมอ เมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องการ ให้ลูกทำอะไรมักสร้างเงื่อนไขเพื่อเป็นแรงจูงใจให้ลูกปฏิบัติตาม
แต่หากทำบ่อยครั้ง อาจไม่เป็นผลดีต่อเด็กค่ะ เพราะต้องสอนให้ลูกรู้จักหน้าที่ มีระเบียบวินัยและสิ่งที่ต้องทำ
– หวงของ ควรสอนให้รู้จัก แ บ่ ง ปั น สิ่งต่าง ๆ จะช่วยพัฒนาทักษะ ทางด้านอารมณ์และจิตใจ เอาแต่ใจจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ
คำแนะนำ ที่ช่วยให้เลี้ยงดูเด็กแบบไม่ สปอยล์ลูก
กำหนดขอบเขต ที่เหมาะสมกับวัยของลูกเพื่อให้เด็ก ๆ ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มได้ตั้งแต่ในช่วงวัยเตาะแตะ
– กำหนดขอบเขต ด้านความปลอดภัย ภายนอก ตัวอย่างเช่น: “อย่าแตะต้องเตาร้อน” และ “อย่าวิ่งเข้าไปในถนน” ถ่ายทอดสิ่งที่เป็นที่ควรทำและไม่ควรทำ พูดคุยถึงเหตุผล บอกถึงปัญหาที่จะตามมาหากทำสิ่งนั้น
และ เสริมสร้างพฤติกรรมทางสังคม เชิงบวกในลักษณะเดียวกัน สั่งสอนลูกถึงสิ่งที่ควรปฏิบัติ เช่น กล่าวขอโทษและขอบคุณหรือเล่นอย่างอ่อนโยนกับเพื่อน ควรหมั่นเสริมสร้างพฤติกรรม เชิงบวกให้ลูก มากกว่าพฤติกรรมเชิงลบ
– พูดคุยกับลูกอย่างเปิดเผย และมีเหตุมีผล เกี่ยวกับพฤติกรรมเมื่อพวกเขาโตขึ้น “เด็กในวัยเรียนและวัยรุ่นสามารถเข้าใจ คำพูดได้ดีกว่าเด็กเล็ก ดังนั้นให้พยายามคิดพูดคุยปัญหาร่วมกัน
เช่น เมื่อลูกทำผิดให้คุณพ่อคุณแม่ถามลูกว่า “ทำไมลูกถึงทำเช่นนี้” เด็กอาจไม่สามารถบอกคุณได้ แต่ถ้าพูดว่า “พ่อ/แม่สงสัยว่าทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นอีก”
คำถามปลายเปิดอาจทำให้ลูกรู้สึกสะดวกใจ และเล่าให้ฟังอย่างไม่เกร็งได้ คำตอบของลูกในบางครั้งอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่แปลกใจก็เป็นได้
– อยู่ในความสงบ ระงับสติอารมณ์ เมื่ออารมณ์เสีย แม้แต่ผู้ใหญ่เองก็อาจแสดงพฤติกรรม ที่ไม่ดีออกมาจะทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึก แ ย่ และควบคุมตัวเองไม่ได้ (เหมือนเด็กนิสัยเสีย) และการแสดงพฤติกรรมไม่ดีเหล่านี้ ไม่ได้สอนให้เด็ก มีพฤติกรรมดีขึ้น แถมอาจทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบอีกด้วย
– คงเส้นคงวา เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกอย่างสม่ำเสมอ
– มีกฎระเบียบร่วมกันที่ดี เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขครอบครัว คือจุดเริ่มต้นของสังคม จึงควรมีกฎที่อยู่ในข้อตกลงร่วมกัน เพื่อให้ลูกปฏิบัติตาม และแจ้งให้ทราบว่าถ้าลูกไม่ปฏิบัติตาม จะมีผลตามมาสำหรับพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ถ้าลูกเล่นของเล่นแล้วไม่เก็บ
แม่จะเก็บของนี้แล้วไม่ให้เล่นอีกนะ หรือวางของเกะกะ อาจทำให้เกิด อุ บั ติ เ ห ตุ ได้ เป็นต้น สิ่งที่ดีที่สุด สำหรับการปลูกฝังนิสัยที่ดีให้ลูก คือการเริ่มต้นแต่เนิ่น ๆ และทำอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อกำหนดขีดจำกัด ทำความเข้าใจความต้องการด้านพัฒนาการของทารกและเด็กเล็ก อาจจะต้องใช้เวลาแต่ จะเกิดผลดีต่อตัวเด็กในระยะยาวแน่นอนว่าการเลี้ยงลูกด้วยวิธีแบบนี้
ย่อมไม่ส่งผลดีทั้งต่อตัวลูกและพ่อแม่ การสปอยลูกมากเกินไปอาจทำให้เด็กโตขึ้น เห็นแต่ประโยชน์ของตนเอง และไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นหรือประโยชน์ของสังคมส่วนรวม
ดังนั้น ถ้าพ่อแม่อยากเลี้ยงลูกแบบมีคุณภาพ ลองมองดูว่าตัวเอง เข้าข่ายพฤติกรรมเหล่านี้หรือไม่ ควรหยุดสปอย์ลูกแบบไม่มีเหตุผล และหาวิธีเลี้ยงลูกอย่างถูกหลักก่อน ที่จะสายเกินแก้
และเพื่อให้ลูกได้เติบโตมาเป็นคนดี มีคนที่รัก อยู่ในสังคมที่เขาจะเติบโตขึ้นมาได้อย่างมีความสุขนะคะ
ขอขอบคุณ t h.t h e a s i a n p a r e n t.